ตำนานพระฤาษีตาไฟ

พระฤาษีตาไฟ

     ตำนานเกี่ยวกับผู้วิเศษคือเรื่องราวหนึ่งในตำนาน ที่ถูกกล่าวขานอยู่ทั่วโลก อย่างในสุวรรณภูมิเรานั้นมีเรื่องราวผู้วิเศษหลายท่าน ทั้งที่เป็นพระอรหันต์ และพระฤาษีผู้ทรงฤทธิ์ รวมทั้งเป็นผู้ที่ปฏิบัติตามหลักโยคะศาสตร์ต่างๆ เช่น เล่นว่านยา เล่นแร่แปรธาตุ เล่นอาคม ก็สามารถเข้าถึงอำนาจลึกลับเหนือธรรมชาติได้ จากตำนานทั่วไปเราพบว่าอำนาจวิเศษทั้งหลายเหล่านั้นมักจะพบอยู่ในผู้ที่ออกบวช โดยเฉพาะเหล่าฤาษีทั้งหลาย ทั้งนี้ฤาษีคือพวกออกบวชพระพฤติพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัด และเข้าถึงอำนาจแห่งพระเป็นเจ้า

      โดยมากนั้นฤาษีมักนับถือพระเป็นเจ้าตามคติลัทธิพราหมณ์ คือ นับถือพระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์ การภาวนาของฤาษีอยู่ในหลักของการเล่นพลัง การเล่นกสิณ ดังนั้น ฤาษีจำนวนไม่น้อยจึงบรรลุ ถึงอำนาจที่เหนือธรรมชาติจากการปฏิบัติโยคะทางจิต อำนาจของฤาษีที่บรรลุฌานสมาบัตินั้น ได้แก่ อำนาจในการเดินบนผิวน้ำ การดำดิน การเหาะเหินเดินอากาศ การย่นระยะทาง การรู้วาระจิต การได้หูทิพย์ ตาทิพย์ และอำนาจจิตในการบังคับควบคุมธาตุทั้ง 4 ได้อย่างเด็ดขาด เหล่านี้คืออำนาจที่อยู่ในพระฤาษีที่ลุถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเป็นเจ้า

     เรื่องราวของพระฤาษีตาไฟนั้น ความจริงแล้วเป็นเรื่องลี้ลับเพราะนามพระฤาษีตาไฟนั้น ปรากฏมาเป็นเวลานานนับพันปีแล้ว ความลี้ลับของพระฤาษีตาไฟนั้นพอเทียบได้กับเรื่องราวของหลวงปู่เทพโลกอุดร ที่ยากจะสืบค้นความจริงได้ ในปัจจุบันจะเห็นว่าการสร้างรูปเคารพของพระฤาษีตาไฟนั้นมักปรากฏเป็นพระฤาษี ที่มีสามตา โดยมีตาที่สามกลางหน้าผาก ตามตำนานกล่าวไว้ว่าตาที่สามของพระฤาษีตาไฟนี้ลืมขึ้นมาเมื่อใดจะบังเกิดเป็นไฟประลัยกัลป์ขึ้น เมื่อนั้น ลักษณะของตาที่สามของพระฤาษีตาไฟนี้ ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่มีบุญและมีตบะฌานที่แก่กล้า ตามคติทางพราหณ์และพุทธนั้นกล่าวว่าบุคคลที่ได้บำเพ็ญเพียรทางจิตมาหลายร้อย หลายพันชาติ เป็นอนันตชาตินั้น เมื่อบังเกิดขึ้นมาในภพชาติปัจจุบันจะมีสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเป็นผู้ที่มี บุญเกิดขึ้นกับร่างกายหลายอย่าง และอย่างหนึ่งก็คือการมีอุณาโลมที่กลางหน้าผาก อุณาโลมกลางหน้าผากนี้กับภาวะตาที่สามเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน เพราะถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งตาที่สามหรือดวงตาแห่งเทพเจ้า

     พระอิศวรหรือพระศิวะถือว่าเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดท่านหนึ่ง ตามตำนานกล่าวว่าพระองค์ทรงมีสามตา โดยตาที่สามพระองค์นั้นอยู่กลางหน้าผากดุจเดียวกับพระฤาษีตาไฟ และเหมือนกันอีกประการหนึ่ง ก็คือ เมื่อใดก็ตามที่พระอิศวรทรงลืมพระเนตรขึ้น เมื่อนั้นย่อมบังเกิด ไฟประลัยกัลป์ขึ้นมา ความเหมือนกันโดยบังเอิญของตำนานพระอิศวรและพระฤาษีตาไฟ ที่พ้องกันเช่นนี้ทำให้เชื่อว่าท่านทั้งสองคือพระฤาษีตาไฟและพระอิศวรย่อมมี ความเกี่ยวพันไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่งและพอเชื่อได้ว่าพระฤาษีตาไฟแท้จริงแล้ว ก็คือภาคหนึ่งของพระศิวะหรือพระอิศวรเจ้านั้นเอง

     ในหมู่บรรดาฤาษีโยคีทั้งปวงแล้ว ต้องนับถือว่าพระอิศวรหรือพระศิวะเป็นใหญ่สูงสุด เพราะพระอิศวรหรือพระศิวะ นั้นแท้จริงแล้วคือบรมโยคีหรือมหาโยคี เป็นเทพฤาษีที่ทรงตบะสูงสุด ทั้งนี้ฤาษีทั้งหลายย่อมบูชาโดยตรงต่อองค์พระศิวะด้วยกันทั้งสิ้นและนับถือกันว่า พระศิวะนี้ คือพระเป็นเจ้า พระศิวะคือต้นตอแห่งฤาษีทั้งหลาย การบำเพ็ญทั้งหลายของฤาษี โยคีย่อมมุ่งตรงต่อพระศิวะทั้งสิ้น และด้วยเหตุนี้พระฤาษีตาไฟ พระฤาษีตรีเนตร และพระฤาษีอิศวร ซึ่งแท้จริงก็คือท่านเดียวกัน ย่อมมีฐานะเป็นฤาษีสูงสุดเป็นเจ้าแห่งฤาษีทั้งปวง และย่อมเป็นประธานแห่งฤาษีทั้งหลายด้วย

ความหมายแห่งตาที่สาม
     หนึ่งในเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องเกี่ยวกับพระฤาษีตาไฟ คือ เรื่องตาที่สามของพระคุณเจ้าฤาษีตาไฟ เพราะตาที่สามของพระฤาษีตาไฟนั้น นับเป็นจุดศูนย์รวมพลังงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์ จุดตาที่สามนี้หากเราทำ การค้นคว้าสอบถามครูบาอาจารย์และนักพลังจิตจะพบว่า เป็นจุดกึ่งกลางหน้าผากของคนเรานั้นเป็นจุดศูนย์รวมพลังงานลี้ลับ ทางโยคะศาสตร์เรียกตรงนี้ว่า “อาชญะจักรา” หรือตาที่สาม เป็นจุดที่สามารถปลดปล่อยพลังงานทางจิตในระดับสูง และกล่าวว่าผู้ใดก็ตามที่สามารถพัฒนาจุดศูนย์รวมพลังงานตำแหน่งนี้ (จักรา) จะเกิดอำนาจทางทิพยจักษุญาณ และหากกล่าวถึงการฝึกเพื่อเปิดตาที่สามตามแนวทางโยคีทางฮินดูแล้ว จะกล่าวถึงวิชาโยคะศาสตร์อันเร้นลับที่เชื่อว่าภายในตัวเรานั้นมีเส้นพลังงานบางอย่างภายในตัว และนอกจากนี้ยังมีศูนย์รวมพลังงานอยู่ทั้งหมดถึง 7 จุดด้วยกัน บริเวณตำแหน่งตาที่สามคือจุดที่หก เรียกว่า จักราที่หก หรือที่เรียกว่าอาชญะจักรนี่เอง การเปิดจักรานี้จะทำได้ก็ด้วย การเดินพลังงานชนิดหนึ่งที่มีอยู่ภายในร่างกายของคนเราที่เรียกว่า “พลังกุณฑาลินี” พลังงาน ชนิดนี้จะขดตัวอยู่ ณ บริเวณก้นกบ โยคีต้องทำการเข้าสมาธิเพื่อปลุกพลังงานดังกล่าวให้ตื่นขึ้น อย่างเหมาะสม การปลุกพลังกุณฑาลินีในตำราโบราณกล่าวว่า เป็นสิ่งที่อันตราย หากทำโดยไม่มีผู้รู้แนะนำแล้วพลังดังกล่าวเมื่อเคลื่อนตัวขึ้นมาสู่บริเวณ หน้าผากหรือตำแหน่งตาที่สาม จะก่อให้เกิดการเปิดจักรานี้เป็นผลให้บุคคลผู้ นั้นมีภาวะเห็นสิ่งต่างๆ ที่ดวงตาของคนทั่วไปไม่อาจมองเห็นได้ เช่น การมองเห็นออร่าหรือรัศมีของร่างกายของคนเรา การทำนายโดยใช้กระแสจิต เป็นต้น ซึ่งพลังนี้ยังรวมไปถึงการปลดปล่อยพลังจิตเพื่อทำการโทรจิตก็ได้ และหากบุคคลผู้นั้นผ่านการฝึกฝนกสินมาด้วยแล้วย่อมสามารถปลดปล่อยพลังออกมาจากตาที่สามทำให้ เกิดไฟขึ้นได้เรียกว่าเพ่งไปที่ใดก็เกิดไฟลุกขึ้นที่นั่นเป็นดั่งพระฤาษีตาไฟนั่นเอง

ซึ่งในคำไหว้ครู มีชื่อฤาษีที่คุ้นหูคนไทย อยู่ ๓ ตนด้วยกันคือ ฤาษีนารอด ฤาษีตาวัว ฤาษีตาไฟ
•••••••••

SpyLove.

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ17 ธันวาคม 2566 เวลา 09:33

    ขอบารมีฤาษีนารอท ฤาษีตาไฟ ฤาษีพรหมโลก และ ฤาษีทั้ง ๑๐๘ องค์จงมามาร่วมมาร่วมใจด้วยนะมะพะธะจะพะกะสะด้วยมะอะอุ...ไม่ว่าชายหญิงอ่านขอให้ญานบารมีจงประสิทธิ์ด้วยเทอญเอ๋ย...*

    ตอบลบ