การแก้ไขคนที่ถูกผีสิง ด้วยพุทธะวิธี


การแก้ไขคนที่ถูกผีสิง ด้วยพุทธะวิธี

          คนสมัยนี้ถูกชาวทิพย์ทำให้เจ็บป่วยมีอยู่มาก และไม่รู้จักวิธีแก้ไขให้ถูกต้อง เท่าที่เดินทางมาที่วัดสามแยกนี้ก็มีไม่น้อย เมื่อมีวิธีการแก้ไขที่ถูกต้องบอกออกไป คนก็จะได้ใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขด้วยตนเองได้

          วิธีการแก้ไขที่จะบอกต่อไปนี้นำมาจากพระไตรปิฎก อันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการแก้ไขความเจ็บป่วยของคนที่เกิดจากชาวทิพย์ วิธีการนี้สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยที่ทำการรักษาตัวอยู่ตามโรงพยาบาลโรคจิตต่างๆหรือผู้ป่วยโรคจิต – โรคประสาทอยู่ตามบ้านเรือนที่อยู่ในการดูแลของญาติ และหากผู้ป่วยต้องกินยาตามที่แพทย์สั่งหรือต้องไปพบแพทย์ตามที่นัดไว้ก็ให้กินยาและไปพบแพทย์ตามปกติ

ฉะนั้น หากใครเจอเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับการเจ็บป่วยที่เกิดจากชาวทิพย์นี้ หรือแม้แต่ญาติ – เพื่อน เจอก็ตาม ให้นำเอาวิธีที่บอกไว้นี้ไปปฏิบัติ

“ ชาวทิพย์ ”
(เปรตผีปีศาจ เทวดา ยักษ์ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ นาค ครุฑ อสูร มาร พรหม เงือก กินรา ฯลฯ)
ใครจะว่ามีหรือไม่มีก็ไม่เกี่ยวเพราะเขาก็มีของเขาอยู่อย่างนั้น โดยไม่ขึ้นอยู่กับความคิด
และความเชื่อของท่านผู้ใด

เมื่อชาวทิพย์มีพฤติกรรมทำให้คนเจ็บป่วยไม่ว่าจะด้วยความรักหรือความแค้นก็ตามเช่น ทำให้ตาค้าง - ตัวแข็ง – น้ำลายยืด – นอนนิ่งเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิงนิทรา – เอะอะโวยวาย – อาละวาด – ด่าไม่รู้จักหยุด – สนุกสนานครื้นเครง – แสดงอาการพิลึกพิลั่นต่างๆ – มีพฤติกรรมที่ผิดไปจากความเป็นปกติของผู้นั้นๆ – หรือแม้แต่ความเจ็บป่วยที่แพทย์ปัจจุบันไม่สามารถจะวินิจฉัยได้ ฯลฯ อาการเจ็บป่วยที่เกิดจากชาวทิพย์ดังว่านี้สามารถที่จะเกิดขึ้นได้กับคนทุกชาติ – ทุกศาสนา ไม่ยกเว้นผู้ใด ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก อำนาจน้อยหรือมากก็ตาม
•••••••••

วิธีแก้ไขความเจ็บป่วยที่เกิดจากชาวทิพย์นั้นมีลำดับขั้นตอน

1. ให้เอาเครื่องรางของขลัง – พระเครื่อง - เวทอาคมทั้งหลายทั้งปวงที่อยู่ตามร่างกายของผู้ป่วยหรือเก็บไว้ที่ใหนก็ตามที่ผู้ป่วยถือสิทธิอยู่ ให้เอาทิ้งให้หมด จึงจะทำการแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพรวมไปถึงพระธาตุ – พระพุทธรูป – รูปเคารพของครูบาอาจารย์ที่มีเอาไว้สักการะบูชาที่บ้านโดยเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว ก็เป็นการกระทำที่ผิด เพราะพระธาตุ – พระพุทธรูป – รูปเคารพของครูบาอาจารย์ทั้งหลายเป็นของกลาง ไม่สมควรที่จะเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวของใคร ให้ท่านนำพระธาตุ– พระพุทธรูป – รูปเคารพของครูบาอาจารย์ที่มีอยู่ไปเก็บไว้ที่ส่วนกลางหรือสถานที่สาธารณะ เช่น วัด – โรงเรียน เมื่อได้ทำตามที่บอกนี้ การอุทิศบุญเพื่อชาวทิพย์ของพวกท่านก็จะได้รับผลเต็มที่ โดยไม่มีสิ่งขัดขวาง ที่สำคัญก่อนที่จะทิ้งเครื่องรางฯ นั้น ให้ทำตามลำดับดังนี้…
     1.1 ให้คิดอธิษฐานชี้แจงบอกเหตุผลแก่บรรดาชาวทิพย์ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องรางฯ ให้เข้าใจ
     1.2 “ ขออำนาจพุทธ – ธรรม – สงฆ์ จงบันดาลบุญข้าฯ ให้มาเป็นเกราะป้องกันตัวข้าฯ ” ให้ตั้งใจคิดหลายๆรอบให้ต่อเนื่อง
     1.3 “ ขออำนาจพุทธ – ธรรม – สงฆ์ จงบันดาลมนต์ที่อยู่ในเครื่องรางฯ นี้ให้มลายไป ” ให้ตั้งใจคิดหลายๆรอบให้ต่อเนื่อง และอุทิศบุญให้พวกทิพย์ที่ออกมาจากเครื่องรางฯ นั้นๆด้วย
     1.4 “ขออำนาจพุทธ – ธรรม – สงฆ์ จงบันดาลบุญข้าฯ ให้พวกทิพย์ที่ออกมาจากเครื่องรางฯ นี้ ” ให้ตั้งใจคิดหลายๆรอบให้ต่อเนื่อง

          อันใหนที่สามารถทำลายได้ก็ให้ทำลายด้วยการทุบ – เผา เป็นต้น และห้ามนำไปทิ้งตามแม่น้ำหรือสถานที่ทั่วๆไปเพราะจะเป็นอันตรายแก่ชาวทิพย์ที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น

2. อุทิศบุญ – อธิษฐานบุญให้แก่ชาวทิพย์ที่มีพฤติกรรมทำให้คนเจ็บป่วยนั้น ( ถ้าหากผู้ป่วยไม่สามารถที่จะอุทิศบุญเองได้ ก็ให้ญาติที่ใกล้ชิดอุทิศบุญให้แทน และให้เปลี่ยนตรงคำว่า“ ข้าพเจ้า ” เป็น ชื่อของผู้ที่เจ็บป่วยนั้น และญาติที่จะอุทิศบุญให้แทนนั้นก็ต้องเอาเครื่องรางของขลัง – พระเครื่อง – เวทอาคมทั้งหลายทั้งปวงที่อยู่ตามร่างกายของตนเองหรือเก็บไว้ที่ใหนก็ตามที่ตนเองถือสิทธิอยู่ ให้เอาทิ้งให้หมด จึงจะทำการแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ )
     2.1 อุทิศบุญ คือ เมื่อได้ทำบุญหรือให้ทานใดๆ ให้คิดว่า “ บุญนี้ให้ผู้ที่ทำให้ข้าพเจ้าป่วยและข้าพเจ้า
ขอโทษ – ขออภัยด้วยที่เคยทำกับท่านมาก่อนด้วยความไม่เข้าใจ เมื่อได้บุญแล้วให้ถอนความเจ็บป่วยออกจากข้าพเจ้าด้วยเถิด ”
     2.2 อธิษฐานบุญ คือ เมื่อไม่ได้ทำบุญ ให้คิดว่า “ ขออำนาจพุทธ – ธรรม – สงฆ์ จงบันดาลบุญ ข้าฯ ให้ผู้ที่ทำให้ข้าพเจ้าป่วยและข้าพเจ้า ขอโทษ – ขออภัย ด้วยที่เคยทำกับท่านมาก่อนด้วยความไม่เข้าใจ เมื่อได้บุญแล้วให้ถอนความเจ็บป่วยออกจากข้าพเจ้าด้วยเถิด ”

          วิธีการอุทิศบุญดังกล่าวนี้ทำให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้อย่างน้อยทำให้ได้วันละ 1,000 ครั้งขึ้นไป และให้ทำอยู่ 7 วัน เมื่อได้ทำการแก้ไขเช่นนี้แล้วอาการของผู้เจ็บป่วยก็ยังไม่ดีขึ้นก็ให้เพิ่มการแก้ไขดังต่อไปนี้

3. การสวดพระปริตรของฆราวาส ( อยู่ที่บ้าน ) ให้ญาติของผู้ที่เจ็บป่วยหรือใครก็ได้ที่มีความสามารถ สวดพระปริตรให้พวกทิพย์ที่ทำให้คนเจ็บป่วยฟัง วิธีการสวดพระปริตรต้องสวดพระปริตรเป็นภาษาที่ผู้สวดเข้าใจ สวดให้ชัดถ้อยชัดความสวดให้ถูกต้องตามระเบียบอักขระฐานกรณ์ของภาษานั้นๆ สวดให้ต่อเนื่องไม่ติดขัด เช่นเมื่อเราเป็นคนไทยก็ต้องสวดที่แปลเป็นภาษาไทย แต่ถ้าหากใครเข้าใจภาษาบาลีได้เป็นอย่างดีว่าแต่ละคำที่สวดไปนั้นแปลว่าอย่างไรบ้าง ผู้นั้นจะสวดเป็นภาษาบาลีก็ได้ และผู้ที่จะทำการสวดพระปริตรจะต้องไม่หวังอามิสสินจ้างใดๆเป็นการตอบแทนจากผู้ป่วยหรือญาติของผู้ป่วย หรือหวังที่จะให้เขาเคารพนับถือตนแม้เพียงเท่านี้ อานุภาพพระปริตรที่ผู้นั้นสวดก็จะไม่เกิดผลในทางที่ดีแต่อย่างใด
ผู้สวดพระปริตรต้องคิดเอาเมตตาเป็นเบื้องหน้า หวังเพียงให้ทั้งคนและชาวทิพย์ที่กำลังกวนกันอยู่นี้ให้อภัยกัน ให้มีความสบายกันทั้งสองฝ่าย ให้เกี่ยวข้องกันอย่างถูกต้อง พระปริตรจึงจะมีอานุภาพ
เมื่อจะทำการสวดพระปริตรให้นำผู้ป่วยมานั่งหรือนอนอยู่กลางวงในห้องที่จะทำการสวดพระปริตร
หรือจะให้นอนอยู่ที่เตียงคนป่วยตามปกตินั้นก็ได้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก ถ้าหากผู้ที่สิงมนุษย์อยู่นั้นท่าทางจะรุนแรง ที่นั่งหรือที่นอนนั้นควรมีผ้ารองให้นุ่มๆและก็ให้มีคนอื่นๆที่แข็งแรงคอยนั่งอยู่ข้างๆคนป่วยด้วย เผื่อว่าผู้ที่สิงมนุษย์อยู่นั้นจะลุกขึ้นทำร้ายผู้สวดหรือลุกขึ้นจะวิ่งหนีจะได้จับไว้ได้ทัน
ส่วนการจัดที่ให้ผู้สวดนั้นหากผู้ป่วยนอนอยู่บนเตียง ผู้สวดก็ให้นั่งเก้าอี้อยู่ข้างๆเตียงนั้นสวด
แต่ถ้าผู้ป่วยนั่ง – นอนอยู่ที่พื้นก็ให้จัดที่ให้ผู้สวดนั่ง – ยืน สูงกว่าผู้ป่วยเล็กน้อยและห่างจากผู้ป่วยพอประมาณ
( 1 – 2 เมตร ) ปิดประตูหน้าต่างห้องที่จะทำการสวดพระปริตรให้หมด เมื่อผู้สวดเข้าไปนั่งพร้อมแล้วก็ให้ประกาศบอกแก่ชาวทิพย์บางกลุ่มที่อยู่บริเวณนั้นด้วยเสียงดังฟังชัดว่า

“ บัดนี้ข้าฯ จะทำการสวดพระปริตร ผู้ใดไม่ชอบขอให้ถอยออกไปให้พ้นจากวิถีพระปริตรก่อน เมื่อสวดพระปริตร เสร็จแล้วจึงค่อยกลับมาใหม่ ”

จากนั้นให้คิดอธิษฐานดังนี้ “ ขออำนาจพุทธ – ธรรม – สงฆ์ จงบันดาลสัญญาณข้าฯ ให้ถึงแก่ชาวทิพย์ทั้งหลายที่ทำพระปริตรเป็น ” แล้วจึงประกาศด้วยเสียงดังฟังชัดบอกแก่ชาวทิพย์ที่ทำพระปริตรเป็นว่า...

“ ชาวทิพย์ทั้งหลายฟังข้าฯ บัดนี้พวกข้าฯ จะทำการสวดพระปริตรเพื่อทำการรักษานาย / นาง..................ซึ่งถูกพวกทิพย์ที่ไม่หวังดีก่อกวนให้ได้รับความเดือดร้อนอยู่ในขณะนี้ ท่านผู้ใดที่มีความสามารถในการทำพระปริตรให้เดินทางมา ณ ที่นี้ เพื่อทำพระปริตรร่วมกัน ถ้าหากพวกท่านรับทราบแล้วไม่มา นั่นเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เชิญเถิดท่านทั้งหลาย พวกข้าฯ จะทำบุญให้พวกท่านต่อไป ”
•••••••••
แล้วก็เริ่มสวดพระปริตรดังนี้...

อาฏานาฏิยสูตร

* ขอนอบน้อมแด่ พระผู้จำแนกธรรม อะระหันตะสัมมาสัมพุทธะเจ้าพระองค์นั้น *
ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธะเจ้าว่าเป็นที่พึ่ง
ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมว่าเป็นที่พึ่ง
ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง
แม้ครั้งที่สองข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธะเจ้าว่าเป็นที่พึ่ง
แม้ครั้งที่สองข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมว่าเป็นที่พึ่ง
แม้ครั้งที่สองข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง
แม้ครั้งที่สามข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธะเจ้าว่าเป็นที่พึ่ง
แม้ครั้งที่สามข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมว่าเป็นที่พึ่ง
แม้ครั้งที่สามข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง

ขอนอบน้อมแด่พระวิปัสสีพุทธเจ้า ผู้มีตาทิพย์ มีพระสิริมงคล
ขอนอบน้อมแด่พระสิขีพุทธเจ้า ผู้ทรงอนุเคราะห์แก่สัตว์ทั่วหน้า
ขอนอบน้อมแด่พระเวสสภูพุทธเจ้า ผู้ชำระกิเลส มีความเพียร
ขอนอมน้อมแด่พระกกุสันธพุทธเจ้า ผู้ทรงย่ำยีมารและเสนามาร
ขอนอบน้อมแด่พระโกนาคมนพุทธเจ้า ผู้ลอยบาปแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์
ขอนอบน้อมแด่พระกัสสปพุทธเจ้า ผู้พ้นพิเศษแล้วในธรรมทั้งปวง
ขอนอบน้อมแด่พระอังคีรสพุทธเจ้า ผู้ศากยบุตร มีพระสิริมงคล 
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด ได้ทรงแสดงธรรมนี้ 

อันเป็นเครื่องบรรเทาทุกข์ทั้งปวง อนึ่ง พระพุทธเจ้าเหล่าใดผู้ดับแล้วในโลก ทรงเห็นแจ้งแล้วตามความเป็นจริง พระพุทธเจ้าเหล่านั้นเป็นผู้ไม่ส่อเสียด เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ปราศจากความตื่นกลัว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย นอบน้อมพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ทรงเกื้อกูลแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทรงถึงพร้อมด้วยความประพฤติและความรู้แจ้ง เป็นผู้ยิ่งใหญ่ปราศจากความตื่นกลัว.
พระอาทิตย์ มีขอบเขตใหญ่ขึ้นแต่ทิศใด เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น กลางคืนก็หายไป เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นย่อมเรียกว่ากลางวัน แม้ห้วงน้ำในที่พระอาทิตย์ขึ้นนั้น เป็นสมุทรลึกมีน้ำแผ่เต็มไป ชนทั้งหลายย่อมรู้จักห้วงน้ำนั้น ในที่นั้นอย่างนี้ว่า สมุทรมีน้ำแผ่เต็มไป.


ทิศนี้ที่มหาชนเรียกกันว่า ทิศตะวันออก ที่ท้าวมหาราชผู้ทรงยศ เป็นเจ้า เป็นใหญ่ ของพวกคนธรรพ์ ทรงพระนามว่า ท้าวธตรัฏฐ์ อันพวกคนธรรพ์แวดล้อมแล้ว ทรงโปรดปรานด้วยการฟ้อนรำขับร้อง ทรงคุ้มครองอย่างดีอยู่ ข้าพเจ้าได้ยินมาว่าโอรสของท้าวเธอมีมากองค์ มีพระนามเดียวกันทั้งเก้าสิบเอ็ดองค์ มีพระนามว่า อินทะ ทรงมีกำลังมาก ท้าวธตรัฏฐ์และโอรสเหล่านั้น เห็นพระพุทธเจ้าผู้เบิกบานแล้ว ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ พากันถวายบังคมแต่ที่ไกล แด่พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ปราศจากความตื่นกลัว ข้าแต่พระผู้เป็นบุรุษผู้ยอดเยี่ยม ข้าพระพุทธเจ้าขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าแต่พระอุดมบุรุษ ข้าพระพุทธเจ้าขอนอบน้อมแด่พระองค์ ขอพระองค์ทรงตรวจดูมหาชน ด้วยการหยั่งรู้อันฉลาด แม้พวกชาวทิพย์ก็ถวายบังคมพระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ยินมาอย่างนั้นเนืองๆ ฉะนั้น จึงกล่าวเช่นนี้ 
ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ถามเขาว่า พวกท่านถวายบังคมพระโคดมผู้ชนะ 
หรือ เขาพากันตอบว่า ถวายบังคมพระโคดมผู้ชนะ 
ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอถวายบังคมพระพุทธโคดม 
ผู้ถึงพร้อมด้วยความประพฤติและความรู้แจ้ง.


ชนทั้งหลายผู้กล่าวส่อเสียด ผู้กัดเนื้อข้างหลัง ทำการฆ่าสัตว์ เป็นโจรผู้ลามก เป็นคนตลบตะแลง ตายแล้ว ชนทั้งหลายพากันกล่าวว่า จงนำออกไป.

แต่นี้ไปทิศที่มหาชนเรียกกันว่าทิศใต้ ที่ท้าวมหาราชผู้ทรงยศเป็นเจ้า เป็นใหญ่ ของพวกกุมภัณฑ์ทรงพระนามว่า ท้าววิรุฬหะ อันพวกกุมภัณฑ์แวดล้อมแล้ว ทรงโปรดปรานด้วยการฟ้อนรำขับร้อง ทรงคุ้มครองอย่างดีอยู่ ข้าพเจ้าได้ยินมาว่าโอรสของท้าวเธอมีมากองค์ มีพระนามเดียวกันทั้งเก้าสิบเอ็ดองค์ มีพระนามว่า อินทะ ทรงมีกำลังมาก ทั้งท้าววิรุฬหะและโอรสเหล่านั้น ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้เบิกบานแล้ว ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ พากันถวายบังคมแต่ที่ไกล แด่พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้ยิ่งใหญ่ปราศจากความตื่นกลัว

ข้าแต่พระผู้เป็นบุรุษผู้ยอดเยี่ยม ข้าพระพุทธเจ้าขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าแต่พระอุดมบุรุษ ข้าพระพุทธเจ้าขอนอบน้อมแด่พระองค์ ขอพระองค์ทรงตรวจดูมหาชนด้วยการหยั่งรู้อันฉลาด แม้พวกชาวทิพย์ก็ถวายบังคมพระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ยินมาอย่างนั้นเนืองๆ ฉะนั้น จึงกล่าวเช่นนี้ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ถามเขาว่า พวกท่านถวาย บังคมพระโคดมผู้ชนะ หรือเขาพากันตอบว่า ถวายบังคมพระโคดมผู้ชนะ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอถวายบังคมพระพุทธโคดม ผู้ถึงพร้อมด้วยความประพฤติและความรู้แจ้ง.

พระอาทิตย์มีขอบเขตใหญ่ตกในทิศใด และเมื่อพระอาทิตย์ตก กลางวันดับไป ครั้นพระอาทิตย์ตกแล้ว ย่อมเรียกกันว่ากลางคืน แม้ห้วงน้ำในที่พระอาทิตย์ตกแล้ว เป็นสมุทรลึก มีน้ำแผ่เต็มไป ชนทั้งหลายย่อมรู้จักห้วงน้ำนั้น ในที่นั้นอย่างนี้ว่า สมุทรมีน้ำแผ่เต็มไป.


แต่นี้ไปทิศที่มหาชนเรียกกันว่าทิศตะวันตก ที่ท้าวมหาราชผู้ทรงยศ เป็นเจ้า เป็นใหญ่ของพวกนาคทรงพระนามว่า ท้าววิรูปักษ์ อันพวกนาคแวดล้อมแล้ว ทรงโปรดปรานด้วยการฟ้อนรำขับร้อง ทรงคุ้มครองอย่างดีอยู่ ข้าพเจ้าได้ยินมาว่าโอรสของท้าวเธอมีมากองค์ มีพระนามเดียวกันทั้งเก้าสิบเอ็ดองค์ มีพระนามว่า อินทะ ทรงมีกำลังมาก ทั้งท้าววิรูปักษ์และโอรสเหล่านั้น ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้เบิกบานแล้ว ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ พากันถวายบังคมแต่ที่ไกล แด่พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้ยิ่งใหญ่ปราศจากความตื่นกลัว ข้าแต่พระผู้เป็นบุรุษผู้ยอดเยี่ยม ข้าพระพุทธเจ้าขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าแต่พระอุดมบุรุษ ข้าพระพุทธเจ้าขอนอบน้อมแด่พระองค์ ขอพระองค์ทรงตรวจดูมหาชนด้วยการหยั่งรู้อันฉลาด แม้พวกชาวทิพย์ก็ถวายบังคมพระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ยินมาอย่างนั้นเนืองๆ ฉะนั้น จึงกล่าวเช่นนี้ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ถามเขาว่า พวกท่านถวายบังคมพระโคดมผู้ชนะหรือ เขาพากันตอบว่า ถวายบังคมพระโคดมผู้ชนะ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอถวายบังคมพระพุทธโคดม ผู้ถึงพร้อมด้วยความประพฤติและความรู้แจ้ง.

อุตตรกุรุทวีปเป็นสถานที่อันน่ารื่นรมย์ มีภูเขาหลวงชื่อ สิเนรุ แลดูงดงาม ตั้งอยู่ทิศใด พวกมนุษย์ซึ่งเกิดในอุตตรกุรุทวีปนั้น ไม่ยึดถือสิ่งใดว่าเป็นของตน ไม่หวงแหนกัน มนุษย์เหล่านั้นไม่ต้องหว่านพืชและไม่ต้องนำไถออกไถ หมู่มนุษย์บริโภคข้าวสาลีอันผลิตผล ในที่ไม่ต้องไถ ไม่มีรำ ไม่มีแกลบ บริสุทธิ์ มีกลิ่นหอม เป็นเมล็ดข้าวสาร ที่หุงในเตาอันปราศจากควัน แล้วบริโภคอาหารแต่ที่นั้น

อธิษฐานแม่โคให้มีกีบเดียว แล้วเที่ยวไปสู่ทิศน้อยทิศใหญ่
อธิษฐานสัตว์เลี้ยงให้มีกีบเดียว แล้วเที่ยวไปสู่ทิศน้อยทิศใหญ่
อธิษฐานหญิงให้เป็นพาหนะ แล้วเที่ยวไปสู่ทิศน้อยทิศใหญ่
อธิษฐานชายให้เป็นพาหนะ แล้วเที่ยวไปสู่ทิศน้อยทิศใหญ่
อธิษฐานเด็กหญิงให้เป็นพาหนะ แล้วเที่ยวไปสู่ทิศน้อยทิศใหญ่
อธิษฐานเด็กชายให้เป็นพาหนะ แล้วเที่ยวไปสู่ทิศน้อยทิศใหญ่
บรรดานางบำเรอของพระราชานั้น ก็ขึ้นยานเหล่านั้นตามห้อมล้อมไปทุกทิศ

ด้วยยานช้าง ยานม้า ยานทิพย์ ปราสาท และ วอ ก็ปรากฏแก่ท้าวมหาราชผู้ทรงยศ และท้าวมหาราชนั้นได้ทรงเนรมิตนครไว้บนอากาศคือ อาฏานาฏานคร กุสินาฏานคร ปรกุสินาฏานคร นาฏปริยานคร ปรกุสิตนาฏานคร ทางทิศเหนือมีกปีวันตนคร และอีกนครหนึ่งชื่อชโนฆะ อีกนครหนึ่งชื่อนวนวติยะ อีกนครหนึ่งชื่ออัมพรอัมพรวติยะ มีราชธานีชื่อ อาฬกมันทา.


ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ก็ราชธานีของท้าวกุเวรมหาราช ชื่อวิสาณา ฉะนั้น มหาชน จึงเรียกท้าวกุเวรมหาราชว่า ท้าวเวสวัณ ยักษ์ ชื่อตโตลา ชื่อตัตตลา ชื่อตโตตลา ชื่อโอชสี ชื่อเตชสี ชื่อตโตชสี ชื่อสุระ ชื่อราชา ชื่ออริฏฐะ ชื่อเนมิ ย่อมปรากฏ มีหน้าที่คนละแผนก ในวิสาณราชธานีนั้นมีห้วงน้ำชื่อ ธรณี เป็นแดนที่เกิดเมฆ เกิดฝนตก ในวิสาณราชธานีนั้นมีสภาชื่อ ภคลวดี เป็นที่ประชุมของพวกยักษ์ ณ ที่นั้น มีต้นไม้เป็นอันมาก มีผลเป็นนิจ เต็มไปด้วยหมู่นกต่างๆ มีนกยูง นกกะเรียน นกดุเหว่า อันมีเสียงหวานประสานเสียง มีนกร้องดังว่า ชีวา ชีวา และบางเหล่ามีเสียงปลุกใจ มีไก่ป่า มีปู และนกสาตกะอยู่ในสระบัว ในที่นั้นมีเสียงนกสุกะ นกสาลิกา และหมู่นกที่มีหน้าเหมือนคน สระนฬินี ของท้าวกุเวรนั้นงดงามอยู่ตลอดกาล.

แต่นี้ไปทิศที่มหาชนเรียกกันว่าทิศเหนือ ที่ท้าวมหาราชผู้ทรงยศ เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของพวกยักษ์ทรงพระนามว่าท้าวกุเวร อันพวกยักษ์แวดล้อมแล้วทรงโปรดปรานด้วยการฟ้อนรำขับร้อง ทรงคุ้มครองอย่างดีอยู่ ข้าพเจ้าได้ยินมาว่าโอรสของท้าวเธอมีมากองค์ มีพระนามเดียวกันทั้งเก้าสิบเอ็ดองค์ มีพระนามว่า อินทะ ทรงมีกำลังมาก ทั้งท้าวกุเวรและโอรสเหล่านั้น ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้เบิกบานแล้ว ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ พากันถวายบังคมแต่ที่ไกล แด่พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้ยิ่งใหญ่ปราศจากความตื่นกลัว ข้าแต่พระผู้เป็นบุรุษผู้ยอดเยี่ยม ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าแต่พระอุดมบุรุษ ข้าพระพุทธเจ้าขอนอบน้อมแด่พระองค์ ขอพระองค์ทรงตรวจดูมหาชนด้วยการหยั่งรู้อันฉลาด แม้พวกชาวทิพย์ก็ถวายบังคมพระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าได้ยินมาอย่างนั้นเนืองๆ ฉะนั้น จึงกล่าวเช่นนี้ พวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ถามเขาว่า พวกท่านถวายบังคมพระโคดมผู้ชนะหรือ เขาพากันตอบว่า ถวายบังคมพระโคดมผู้ชนะ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอถวายบังคมพระพุทธโคดม ผู้ถึงพร้อมด้วยความประพฤติและความรู้แจ้ง.


* ขอนอบน้อมแด่พระผู้จำแนกธรรม อะระหันตะสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น *
•••••••••

จบอาฏานาฏิยสูตร


ให้สวดหลายๆรอบและระหว่างที่สวดอยู่นั้นในกรณีที่พวกทิพย์สิงคนก็ให้ผู้ป่วย ( ที่คิดได้ ) และผู้ที่ไม่ได้สวดพระปริตรอธิษฐานเปิดร่างกายของผู้ป่วยให้พวกทิพย์ที่ก่อกวนอยู่ข้างในออกมาอยู่ข้างนอกได้ว่า

“ ขออำนาจพุทธ – ธรรม – สงฆ์ จงบันดาลร่างกายข้าฯ ให้เปิดโอกาสแก่พวกทิพย์ให้ออกมาได้โดยสะดวกทุกทิศ – ทุกทางด้วยเถิด ” ดังนี้ (ถ้าหากผู้อื่นช่วยอธิษฐานด้วยก็ให้เปลี่ยนตรงคำว่า “ ร่างกายข้าฯ ” เป็นร่างกายของนาย / นาง.............)และให้ทำการลูบตามร่างกายของผู้ป่วยหรือตรงบริเวณที่มีอาการไปพร้อมๆกันด้วย เพื่อไล่พวกทิพย์ที่ก่อกวนอยู่ให้ออกมา (ผู้อื่นช่วยไล่ให้ด้วยก็ได้) 

โดยให้อธิษฐานก่อนว่า...

“ ขออำนาจพุทธ – ธรรม – สงฆ์ จงบันดาลบุญข้าฯ ให้มาเป็นฤทธิ์อำนาจที่ตัวข้าฯ เพื่อรับสัมผัสของพวกทิพย์ที่อยู่ในร่างกายของ.................( ถ้าจะไล่ให้ตัวเองก็ว่า ข้าฯ ถ้าจะไล่ให้ผู้อื่นก็ว่าตามชื่อของคนที่เจ็บป่วยนั้น )เมื่อข้าฯ สัมผัสถูกพวกทิพย์ ขอให้พวกทิพย์เหล่านั้นอึดอัด ทรมาน ทนอยู่ไม่ได้ ”

ให้ตั้งใจคิดหลายๆรอบให้ต่อเนื่อง แล้วก็ทำการลูบไปตามร่างกายของผู้ป่วยหรือตรงบริเวณที่มีอาการนั้น ๆ เมื่อลูบไปๆๆบางทีก็จะรู้สึกสัมผัสกับอาการเหมือนกล้ามเนื้อกระตุกหรือก้อนแข็งๆ ก็ให้พยายามกด      – บี้อาการเหมือนกล้ามเนื้อกระตุกหรือก้อนแข็งๆนั้นให้ละลาย..( ก้อนแข็งๆที่ว่านี้ผู้ป่วยจะต้องไม่เคยมีมาก่อนและผู้ป่วยต้องไม่มีโรคใดๆอยู่บริเวณที่กด – บีบนั้น ) หากมีอาการอยู่ตรงบริเวณแขนขา ให้พยายามไล่ให้ออกไปทางปลายมือปลายเท้า แต่ถ้าอยู่ตามลำตัวก็ให้ลูบ 
     – กดอยู่ตรงนั้นๆได้เลย เมื่อกดโดนตัวพวกทิพย์ คนจะเจ็บมากจนร้องโอดโอย แม้จะกดเพียงเบาๆ บางทีก็ร้องออกมาเป็นเสียงของพวกทิพย์ประเภทนั้นๆเลยก็มี เช่น เสียงเด็ก เสียงหมา เสียงแมว ฯลฯ
บางทีอาการเหมือนกล้ามเนื้อกระตุกหรือก้อนแข็งๆนั้นก็จะหายไป เพราะเขาหลบ ก็ให้ลูบตามร่างกายของคนป่วยตรวจสอบดู หากเจออีกก็ให้ทำการไล่ต่อไป หากทำการกด 
     – บีบไล่แล้วคนป่วยก็เจ็บปวด 
     – อ่อนเพลียมากแล้ว แต่พวกทิพย์ยังไม่ออกก็ให้พักกันก่อน ส่วนพระปริตรก็ให้สวดต่อไปเรื่อยๆ เมื่อคนป่วยมีอาการดีขึ้นก็ให้กด – บีบ ไล่กันอีกต่อไป แต่ถ้าหากในขณะที่ทำการสวดพระปริตรและกด 
     – บีบไล่อยู่นั้นหากพวกทิพย์ที่ก่อกวนอยู่ภายในอยากจะพูดหรืออยากจะขอร้องอะไรบางอย่าง ก็ให้หยุดการสวดเอาไว้ก่อนแล้วก็ให้พูดคุยกับพวกทิพย์ที่ก่อกวนอยู่นั้น โดยพยายามพูดให้พวกทิพย์หยุดการก่อกวนคนให้ได้หรือหากคนป่วยมีอาการเรอ – อาเจียน – ปวดปัสสาวะ – ปวดอุจจาระ ก็ปล่อยให้ออกมาตามปกติ เพราะพวกทิพย์บางกลุ่มก็จะออกมาจากร่างกายของคนด้วยอาการแบบนี้ ถ้าหากอาการเหมือนกล้ามเนื้อกระตุกหรือก้อนแข็งๆที่เจอนั้นหายไปโดยที่ไม่ไปแสดงอาการเจ็บปวดที่บริเวณอื่นอีก ก็ให้รู้เถิดว่าพวกทิพย์ที่สิงอยู่ได้ออกจากร่างคนแล้ว ก็ให้เบิกบุญหรือทำบุญให้เขา ทำบุญกับใครก็ได้เช่นเอาเงินให้แม่ – พ่อ ฯลฯ แล้วก็คิดว่า 

“บุญนี้ให้พวกทิพย์ที่ออกจากร่างกายของ............. (ถ้าเป็นตัวเองก็ว่า ข้าฯ ถ้าเป็นผู้อื่นก็ว่าตามชื่อของคนที่เจ็บป่วยนั้น) รับบุญแล้วจงเป็นสุขเถิดอย่าได้มาอยู่ในร่างกายของ...............อีกเลย ”

หรือจะอธิษฐานเบิกบุญมาให้ก็คิดดังนี้ว่า…

“ขออำนาจพทธ – ธรรม – สงฆ์ จงบันดาลบุญข้าฯ ให้พวกทิพย์ที่ออกมาจากร่างกายของ.......นี้”
          ให้คิดหลายๆรอบให้ต่อเนื่อง การสวดพระปริตรของฆราวาสนี้ หากผู้ใดเหนื่อยก็ให้เปลี่ยนกันสวด ให้สวดอยู่อย่างนั้น แม้ว่าในขณะที่สวดอยู่ พวกทิพย์ที่ก่อกวนหรือคนป่วยจะไม่แสดงอาการใดๆออกมาก็ตาม ให้รู้ไว้เลยว่า อานุภาพพระปริตรกำลังดำเนินไปอยู่ เพียงแต่เราไม่มีตาทิพย์ที่จะมองเห็น การสวดให้พยายามสวดให้ต่อเนื่องตลอดเป็นเวลา 7 วัน หากทำได้ดังนี้จะดีมาก แต่หากทำไม่ได้ก็ให้สวดวันละ 3 – 4 รอบคือ สาย – บ่าย – ค่ำ – ดึก การสวดเป็นรอบๆแบบนี้อาจจะสวดรอบละ 1 ชม. หรือมากกว่านั้นก็ได้ และหากว่าสวดเป็นรอบๆดังว่ามานี้ก็ยังทำไม่ได้ ก็ให้ญาติของผู้ป่วยนั้นถ้าพอมีเวลาตอนใหนก็ให้สวดตอนนั้นทันทีอย่าปล่อยเอาไว้เฉยๆ เพราะยิ่งสวดมากเท่าใหร่ก็จะยิ่งเป็นผลดีมากขึ้นเท่านั้น ในระหว่างที่สวดอยู่นี้ เมื่อสวดไปๆ คนป่วยก็หลับไป ก็ให้หยุดพักการสวดได้

          ทุกครั้งที่เลิกทำการสวดพระปริตรให้เอาบุญให้แก่พวกทิพย์ที่มาช่วยทำงาน และให้แก่พวกทิพย์ที่ออกมาถึงแม้ว่าผู้ป่วยจะยังไม่หาย แต่การทำพระปริตรทุกครั้งจะมีพวกทิพย์บางส่วนออกมาจากร่างกายของผู้ป่วยโดยให้คิดอธิษฐานดังนี้...

“ ขออำนาจพุทธ – ธรรม – สงฆ์ จงบันดาลบุญข้าฯ ให้พวกทิพย์ที่มาช่วยทำพระปริตรและพวกทิพย์ที่ออกมาจากร่างกายของ........ ” ( ถ้าเป็นตัวเองก็ว่า ข้าฯ ถ้าเป็นผู้อื่นก็ว่าตามชื่อของคนที่เจ็บป่วยนั้น ) ให้คิดหลายๆรอบให้ต่อเนื่อง และผู้ที่อธิษฐานให้บุญมาเป็นฤทธิ์อำนาจที่ตัวก็ให้อธิษฐานคลายฤทธิ์อำนาจนั้นโดยคิดดังนี้ว่า…

“ ขออำนาจพุทธ – ธรรม – สงฆ์ จงบันดาลบุญข้าฯ ที่มาเป็นฤทธิ์อำนาจที่ตัวให้มลายไป ”

          ให้คิดหลายๆรอบและต้องคิดให้มากกว่าตอนที่อธิษฐานให้บุญมาเป็นฤทธิ์ เมื่อได้ทำการแก้ไขดังกล่าวมานี้แล้วถ้าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นก็ให้ทำต่อไปจนกว่าจะหาย แต่ถ้าอาการของคนป่วยยังไม่ดีขึ้นก็ให้เพิ่มการแก้ไขดังต่อไปนี้

4. พาผู้ป่วยไปหาพระที่วัด เมื่อเขานำคนป่วยที่เกิดจากชาวทิพย์ก่อกวนด้วยวิธีการต่างๆมาหาพระที่วัดให้พระทำดังต่อไปนี้
     4.1 สอบถามประวัติความเป็นมาของผู้ป่วยเพื่อให้รู้ความเกี่ยวข้องระหว่างพวกทิพย์ที่ก่อกวน ( ที่สิงอยู่ ) กับคนป่วย เช่น ถ้าผู้ป่วยเคยทำแท้งมาก่อนพวกทิพย์ที่ก่อกวน ( ที่สิงอยู่ ) อาจเป็นลูกที่ตนเองเคยทำแท้งไป ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ให้ผู้ป่วยทำบุญให้มากๆก่อน แล้วจึงทำการขอโทษ - ขอขมากันต่อไป และถ้าผู้ป่วยพอที่จะรู้สึกตัวได้ดีก็ให้รับไตรสรณคมน์พร้อมกับรับศีลในลำดับถัดไป ( ถ้าหากมีเครื่องรางของขลังใดๆก็ให้เอาออกทิ้งให้หมดทั้งผู้ป่วยทั้งญาติของผู้ป่วย ตามที่กล่าวแล้ว )
     4.2 หาสถานที่ที่เหมาะสมกับการทำพระปริตร ควรเป็นลานกว้าง – โล่ง ยิ่งมีต้นไม้ใหญ่อยู่ใกล้ๆและเป็นลานหญ้ที่เขียวชะอุ่มด้วยจะยิ่งดี จากนั้นให้เรียกประชุมพระในวัดทั้งหมด เมื่อพร้อมแล้วให้จัดที่นั่ง – ยืน ให้สูงกว่าผู้ป่วยเล็กน้อย จากนั้นให้ภิกษุทั้งหมดที่ประชุมกันพร้อมแล้วอธิษฐานเอาบุญของตนเองให้แก่พวกทิพย์ที่ก่อกวนคนอยู่นั้น จากนั้นให้ภิกษุที่ฉลาด – สามารถอบรมสั่งสอนพวกทิพย์ที่ก่อกวนคนให้รู้จักผิด – ชอบ – ชั่ว – ดี จะพรรณาถึงความสุขสบายในสวรรค์ – พรรณาถึงความทุกข์ทรมานในนรก หรือจะอ่านเรื่องราวของสวรรค์ –นรก ที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกให้พวกทิพย์ที่ก่อกวนคนอยู่นั้นฟังก็ได้ ถ้าทำการเช่นนี้แล้วพวกทิพย์ยอมหยุดการก่อกวนคนได้ก็เป็นการดี แต่ถ้าพวกทิพย์ไม่ยอมหยุดการก่อกวนยังคงสร้างความเดือดร้อนให้แก่คนต่อไป จากนั้นให้อ่านอาญาสวรรค์ที่ว่าด้วยวิธีป้องกันอมนุษย์ให้พวกทิพย์ที่ก่อกวนคนอยู่นั้นฟัง ( เล่ม 16 หน้า 134 ชุด 91 เล่ม มหามกุฏราชวิทยาลัย ) หากพวกทิพย์ยังไม่ยอมปล่อย – ยังไม่ยอมหยุดการก่อกวนคนก็ให้ทำตามขั้นตอนต่อไป
     4.3 ควรสวดพระปริตร ( วิธีการสวดพระปริตรได้กล่าวเอาไว้แล้ว ) ถ้าผู้ใดไม่เข้าใจในภาษาบาลีสวดเพราะจำได้เฉยๆไม่ควรสวดเป็นบาลี ควรสวดเป็นภาษาที่ตนเองเข้าใจ (ในกรณีที่จะสวดพระปริตรเป็นบาลีไม่ต้องรอสวดพระปริตรพร้อมกัน ให้ต่างองค์ก็ต่างสวดไป) 

          แต่ก่อนที่จะสวดพระปริตรให้ภิกษุที่ฉลาด – สามารถประกาศบอกแก่ชาวทิพย์ที่ทำพระปริตรเป็นให้มาร่วมทำงานกับเหล่าภิกษุด้วยเสียงดังฟังชัดว่า

“ ชาวทิพย์ทั้งหลายฟังข้าฯ บัดนี้พวกข้าฯ จะทำการสวดพระปริตร เพื่อทำการรักษานาย / นาง.......................ซึ่งถูกพวกทิพย์ที่ไม่หวังดีก่อกวน ให้ได้รับความเดือดร้อนอยู่ในขณะนี้ ท่านผู้ใดที่มีความสามารถในการทำพระปริตร ให้เดินทางมา ณ ที่นี้ เพื่อทำพระปริตรร่วมกัน ถ้าหากพวกท่านรับทราบแล้วไม่มา นั่นเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เชิญเถิดท่านทั้งหลาย พวกข้าฯ จะทำบุญให้พวกท่านต่อไป ”

แล้วก็เริ่มสวดพระปริตร…

          ทุกครั้งที่เลิกทำการสวดพระปริตรให้เอาบุญให้แก่พวกทิพย์ที่มาช่วยทำงานและให้แก่พวกทิพย์ที่ออกมา ถึงแม้ว่าผู้ป่วยจะยังไม่หายตามที่กล่าวแล้ว ถ้าทำการเช่นนี้แล้วพวกทิพย์ยอมหยุดการก่อกวนคนได้ก็เป็นการดี แต่ถ้าพวกทิพย์ไม่ยอมหยุดการก่อกวนก็ให้ทำต่อไปจนครบ 7 วันถ้าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นก็ให้ทำต่อไปจนกว่าจะหาย
•••••••••


ว่าด้วยวิธีป้องกันอมนุษย์

ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ อาฏานาฏิยรักษ์นี้นั้น เพื่อคุ้มครอง เพื่อรักษา เพื่อไม่เบียดเบียน เพื่อสุขสำราญของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย.

ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ผู้ใดผู้หนึ่ง ภิกษุก็ตาม ภิกษุณีก็ตาม อุบาสกก็ตาม อุบาสิกาก็ตาม จักเป็นผู้ยึดถือด้วยดี เรียนครบบริบูรณ์ซึ่ง อาฏานาฏิยรักษ์นี้ หากว่า อมนุษย์ เป็นยักษ์ เป็นยักษิณี เป็นบุตรยักษ์ เป็นธิดายักษ์ เป็นมหาอำมาตย์ยักษ์ เป็นบริษัทยักษ์ (ประชาชนยักษ์) เป็นยักษ์ผู้รับใช้ เป็นคนธรรพ์ เป็นนางคนธรรพ์ เป็นบุตรคนธรรพ์ เป็นธิดาคนธรรพ์ เป็นมหาอำมาตย์ของคนธรรพ์ เป็นคนธรรพ์บริษัท (ประชาชนคนธรรพ์) เป็นคนธรรพ์ผู้รับใช้ เป็นกุมภัณฑ์ เป็นนางกุมภัณฑ์ เป็นบุตรกุมภัณฑ์ เป็นธิดากุมภัณฑ์ เป็นมหาอำมาตย์ของกุมภัณฑ์ เป็นกุมภัณฑ์บริษัท (ประชาชนกุมภัณฑ์) เป็นกุมภัณฑ์ผู้รับใช้ เป็นนาค เป็นนางนาค เป็นบุตรนาค เป็นธิดานาค เป็นมหาอำมาตย์ของนาค เป็นนาคบริษัท (ประชาชนนาค) หรือเป็นนาคผู้รับใช้ เป็นผู้มีจิตประทุษร้าย พึงเดินตามภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เดินไปอยู่ หรือ พึงยืนใกล้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้ยืนอยู่ หรือพึงนั่งใกล้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้นั่งอยู่ หรือพึงนอนใกล้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้นอนอยู่.
ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ อมนุษย์นั้นไม่พึงได้สักการะ หรือ ความเคารพในบ้านหรือในนิคม ของข้าพระพุทธเจ้า.
ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ อมนุษย์นั้นไม่พึงได้วัตถุ (สิ่งของ) หรือการอยู่ในราชธานี ชื่อว่าอาฬกมันฑา ของข้าพระพุทธเจ้า.

ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ อมนุษย์นั้นไม่พึงได้ เพื่อเข้าสมาคมของพวกยักษ์ ของข้าพระพุทธเจ้า.

อนึ่งอมนุษย์ทั้งหลาย ไม่พึงทำการอาวาหะ (การแต่งงาน) และวิวาหะกะอมนุษย์.

อนึ่งอมนุษย์ทั้งหลายพึงบริภาษ (ด่า) อมนุษย์นั้นด้วยความดูหมิ่น ครบบริบูรณ์ดังกล่าวแล้วโดยแท้.

อนึ่ง อมนุษย์ทั้งหลาย พึงครอบบาตรเปล่าบนศีรษะ อมนุษย์นั้นโดยแท้.

อนึ่ง อมนุษย์ทั้งหลาย พึงผ่าศีรษะอมนุษย์นั้นออก ๗ เสี่ยงโดยแท้.


ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ อมนุษย์ทั้งหลาย ดุร้าย ร้ายกาจ ทำเกินกว่าเหตุ มีอยู่ อมนุษย์เหล่านั้นไม่เชื่อท้าวมหาราช ไม่เชื่อยักษ์เสนาบดี ของท้าวมหาราช ไม่เชื่อถ้อยคำของรองยักขเสนาบดีของท้าวมหาราช.

ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ อมนุษย์เหล่านั้นแล ท่านกล่าวว่า ชื่อว่าเป็นข้าศึกศัตรูของท้าวมหาราช.


เหมือนโจรทั้งหลาย ในแว่นแคว้น (เขตปกครอง) ของพระราชามคธ โจรเหล่านั้น ไม่เชื่อพระราชามคธ ไม่เชื่อเสนาบดีของพระราชามคธ ไม่เชื่อถ้อยคำของเสนาบดีของพระราชามคธ ไม่เชื่อรองเสนาบดีของพระราชามคธ ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ มหาโจรเหล่านั้น ท่านกล่าวว่าชื่อว่า เป็นข้าศึกศัตรูของพระราชามคธ ฉันใด ก็อมนุษย์ทั้งหลาย ดุร้าย ร้ายกาจ ทำเกินกว่าเหตุมีอยู่ อมนุษย์เหล่านั้น ไม่เชื่อท้าวมหาราช ไม่เชื่อยักขเสนาบดีของท้าวมหาราช ไม่เชื่อถ้อยคำของรองยักขเสนาบดีของท้าวมหาราช ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ อมนุษย์เหล่านั้นแล ท่านกล่าวว่าเป็นข้าศึกศัตรูของท้าวมหาราช ฉันนั้น.


ก็อมนุษย์ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นยักษ์ เป็นยักษิณี เป็นบุตรยักษ์ เป็นธิดายักษ์ เป็นมหาอำมาตย์ของยักษ์ เป็นยักขบริษัท เป็นยักษ์ผู้รับใช้ เป็นคนธรรพ์ เป็นนางคนธรรพ์ เป็นบุตรคนธรรพ์ เป็นธิดาคนธรรพ์ เป็นมหาอำมาตย์ของคนธรรพ์ เป็นคนธรรพ์บริษัท เป็นคนธรรพ์ผู้รับใช้เป็นกุมภัณฑ์ เป็นนางกุมภัณฑ์ เป็นบุตรกุมภัณฑ์ เป็นธิดากุมภัณฑ์ เป็นมหาอำมาตย์ของกุมภัณฑ์ เป็นกุมภัณฑ์บริษัท เป็นกุมภัณฑ์ผู้รับใช้ เป็นนาค เป็นนางนาค เป็นบุตรนาค เป็นธิดานาค เป็นมหาอำมาตย์ของนาค เป็นนาคบริษัท หรือเป็นนาคผู้รับใช้ เป็นผู้มีจิตประทุษร้าย พึงเดินตาม ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เดินอยู่ พึงยินใกล้ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกา ผู้ยืนอยู่ พึงนั่งใกล้ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรือ อุบาสิกา ผู้นั่งอยู่ พึงนอนใกล้ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้นอนอยู่.

พึงยกโทษ พึงคร่ำครวญ พึงร้อง แก่ยักษ์ มหายักษ์ว่า ยักษ์นี้สิง ยักษ์นี้ ติดตาม ยักษ์นี้รุกราน ยักษ์นี้เบียดเบียน ยักษ์นี้ทำให้เดือดร้อน ยักษ์นี้ ทำให้เกิดทุกข์ ยักษ์นี้ไม่ปล่อย ดังนี้.

ยักษ์ มหายักษ์ เสนาบดี มหาเสนาบดี เหล่าไหน คือ อินทะ โสมะ วรุณะ ภารทวาชะ ปชาปติ จันทนะ กามเสฏฐะ กินนุมัณฑุ นิฆัณฑุ ปนาทะ โอปมัญญะ เทวสูตะ มาตลิ จิตตเสนะ คันธัพพะ มโฬราชาชโนสภะ สาตาคิระ เหมวตะ ปุณณกะ กริติยะ คุละ สิวกะ มุจจลินทะ เวสสามิตตะ ยุคันธระ.

โคปาละ สุปปเคธะ หิริ เนตตะ มันทิยะ ปัญจาลจันทะ อาลวกะ ปชุณณะ สุมุขะ มธิมุขะ มณี มานิจระ ทีฆะ และ เสรีสกะ.
พึงยกโทษ พึงคร่ำครวญ พึงร้องแก่ยักษ์ มหายักษ์ เสนาบดี มหาเสนาบดี เหล่านี้ว่า ยักษ์นี้สิง ยักษ์นี้ติดตามยักษ์นี้รุกราน ยักษ์นี้เบียดเบียน ยักษ์นี้ทำให้เดือดร้อน ยักษ์นี้ทำให้เกิดทุกข์ ยักษ์นี้ ไม่ปล่อย ดังนี้

ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ อาฏานาฏิยรักษ์นี้แล เพื่อคุ้มครอง เพื่อรักษา เพื่อไม่เบียดเบียน เพื่อความอยู่สำราญของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย สาธุ สาธุ สาธุ.

•••••••••
SpyLove.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น